แบ่งปันความรู้
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556
การตกแต่งห้องเรียนเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้
การตกแต่งห้องเรียนเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ครูทุกคนจัดทำให้แก่นักเรียนเพื่อส่งเสริม
บรรยากาศในชั้นเรียนให้ผู้เรียนมีความรู้สึกสบายตาและสบายใจ
เสมือนนั่งอยู่ใน สถานที่แห่งการเรียนรู้ทางวิชาการ ซึ่งสามารถเป็นปัจจัยส่งเสริมด้านการเรียนรู้ ให้แก่นักเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การตกแต่งห้องเรียนของแต่ละสถานศึกษามีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับงบประมาณ
วัฒนธรรมขององค์กร ระดับชั้นของนักเรียน โปรแกรมการเรียน ความใส่ใจของครู และความสร้างสรรค์ในงานตกแต่งห้องเรียน
การตกแต่งห้องเรียนจึงเป็นภาระงานหนึ่งที่ท้าทายความสามารถของครู เนื่องจาก
ครูต้องศึกษาข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการตกแต่งห้องเรียนอีกทั้งต้องทำงานตกแต่ง
ห้องเรียนภายใต้สถานการณ์ที่อาจมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ
และวัฒนธรรมของ
องค์กร
อย่างไรก็ตามการตกแต่งห้องเรียนเป็นสิ่งที่ครูหลีกเลี่ยงได้ยาก
เพราะเป็นภาระงาน
หนึ่งที่ครูได้รับมอบให้ทำ การวางแผนตกแต่งห้องเรียนที่ดีและรอบคอบจึงเป็นสิ่งที่ สามารถช่วยครูในเรื่องการลดภาระงาน การประหยัดงบประมาณ และสร้างสรรค์งาน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ครูจึงควรวางแผนไว้ตลอดทั้งปีการศึกษาว่าจะตกแต่งห้องเรียน ณ ตำแหน่งใด
ตกแต่งอย่างไร ใช้งบประมาณเท่าไร ใครจะมาเป็นผู้มีส่วนร่วมในการทำงาน
และหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องใด
ข้อมูลที่สามารถนำมาใช้เป็นหัวข้อในการตกแต่งห้องเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้แก่
นักเรียนสามารถมีได้ดังต่อไปนี้ 1) เนื้อหารายวิชาที่สอน 2) เนื้อหาที่นักเรียน จำเป็นต้องทราบเนื่องจากอยู่ในกระแสความสนใจของสังคม
3) ความรู้ทั่วไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 4) ข่าวประจำวัน 5) ประกาศหรือข้อมูลที่ครู
ต้องแจ้งให้นักเรียนรับรู้
6) ความเคลื่อนไหวของกิจกรรมเสริมหลักสูตรของ
สถานศึกษา 7) ผลงานของนักเรียน และ 8) เพื่อความสวยงาม เป็นต้น
ครูอาจตกแต่งห้องเรียนตามแนวความคิดของตนเองโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สามารถ จะเอื้อให้ได้ตามสภาพและสถานการณ์ของสถานศึกษา
แต่เป้าหมายหลักก็เพื่อให้
นักเรียนได้เรียนรู้อยู่ในห้องเรียนที่มีสภาพบรรยากาศแห่งวิชาการที่ดีและส่งเสริม นักเรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งทางด้านปัญญาและทางด้านอารมณ์
วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555
วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่ม
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่ม เป็นการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนใช้ความสามารถในการแก้ปัญหาหรือศึกษาหาความรู้อย่างอิสระ รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม และการศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่างๆ ด้วยตนเอง โดยครูเป็นผู้กระตุ้นให้นักเรียนหาสาเหตุของปัญหาโดยใช้การตั้งคำถาม จากหัวข้อที่นักเรียนต้องการศึกษา
ขั้นตอนการสอน แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่ม
Sharan and the other (1980) แนะนำการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่ม 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ครูเสนอสถานการณ์โดยใช้บทอ่าน เรื่องสั้น วีดีทัศน์ ฯลฯ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนอยากเรียน อยากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและแก้ปัญหา นักเรียนจะกำหนดปัญหาหรือหัวข้อที่ต้องการศึกษา และแบ่งกลุ่มเลือกหัวข้อที่ตนสนใจ
2. ขั้นการวางแผนการทำงาน สมาชิกในกลุ่มแบ่งความรับผิดชอบในการทำงานและวิธีค้นหาคำตอบจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
3. ขั้นการทำงาน นักเรียนแต่ละคนปฏิบัติงานที่ตนรับผิดชอบ รวบรวมข้อมูล เสนอความคิดเห็น อภิปรายชี้แจง และสรุปแนวความคิดของกลุ่ม
4. ขั้นเตรียมตัวรายงาน นักเรียนตัดสินใจที่จะนำเสนอสิ่งที่ได้จากการค้นคว้า วางแผนการนำเสนอผลงานต่อที่ประชุม
5. ขั้นเสนอรายงาน นักเรียนแต่ละกลุ่มเสนอผลงานและกระบวนการทำงานของกลุ่มต่อชั้น
6. ขั้นการประเมินผล นักเรียนแลกเปลี่ยนและสะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้องานที่ทำ นักเรียนและครูร่วมกันประเมินผลงานจากพฤติกรรมการทำงานกลุ่มและการนำเสนอผลงานหน้าชั้น
นาตยา ปิลันธนานนท์ ( 2543 : 42) ได้กล่าวถึงลักษณะของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่มว่ามีลักษณะดังนี้
1. ผู้เรียนร่วมกันเสนอหัวข้อหรือประเด็นที่ต้องการศึกษาค้นคว้า จากสิ่งที่ได้เรียนไป
2. ผู้เรียนเลือกเข้ากลุ่มตามหัวข้อที่ตนต้องการศึกษา จำนวนสมาชิกในกลุ่มไม่ควรมากเกินไป ประมาณกลุ่มละ 4-6 คน จำนวนสมาชิกในกลุ่มของแต่ละหัวข้ออาจมีจำนวนไม่เท่ากันก็ได้ ขึ้นกับลักษณะของหัวข้อที่จะศึกษา และแต่ละกลุ่มควรมีผู้เรียนที่มีความสามารถหลากหลาย
3. ครูแนะนำวิธีการทำงานกลุ่ม การสืบค้น และรวบรวมข้อมูลความรู้ ในแต่ละหัวข้อ
4. ผู้เรียนในแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนการศึกษาค้นคว้าในหัวข้อของตน จากนั้นแบ่งงานกันทำตามที่วางแผนกันไว้
5. เมื่อทุกกลุ่มศึกษาค้นคว้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ทุกกลุ่มเสนอผลงานของกลุ่ม โดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมใจการนำเสนองาน หลักจากนั้นมีการประเมินผลงาน และการทำงานกลุ่มของกันและกัน
สิริพร ทิพย์คง (2545 : 173-174) กล่าวว่าวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่มมีองค์ประกอบอยู่ 6 ประการ คือ
1. การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา นักเรียนเลือกหัวข้อเรื่องที่เฉพาะเจาะจง จากนั้นแบ่งภาระงานเพื่อร่วมกันทำงานกลุ่ม
2. การวางแผนร่วมกันในการทำงาน ครูและนักเรียนวางแผนร่วมกันในวิธีดำเนินการ ภาระงานที่ทำ และเป้าหมายของงานในแต่ละหัวข้อย่อย ตามปัญหาที่เลือก
3. การดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ นักเรียนดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ในขั้น 2 กิจกรรมและทักษะต่างๆ ที่นักเรียนจะต้องศึกษาควรมาจากแหล่งข้อมูลทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ครูควรให้คำปรึกษากับกลุ่มพร้อมกับติดตามความก้าวหน้าในการทำงานของนักเรียน ช่วยเหลือเมื่อนักเรียนต้องการความช่วยเหลือ
4. การวิเคราะห์และการสังเคราะห์ นักเรียนวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลที่นักเรียนรวบรวมมาได้ในขั้น 3 แล้ววางแผนรูปแบบการนำเสนอต่อชั้นเรียน
5. การนำเสนอผลงาน กลุ่มนำเสนอผลงานตามหัวข้อของเรื่องที่เลือก ครูต้องพยายามกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมขณะที่มีการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน
6. การประเมินผล ครูและนักเรียนจะร่วมกันประเมินผลงานที่ถูกนำเสนอ พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นต่อผลงานทุกชิ้น
เอกสารอ้างอิง
6. การประเมินผล ครูและนักเรียนจะร่วมกันประเมินผลงานที่ถูกนำเสนอ พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นต่อผลงานทุกชิ้น
เอกสารอ้างอิง
นาตยา ปิลันธนานนท์. (2543). การเรียนแบบร่วมมือ. กรุงเทพมหานคร: บริษัท จูนพับลิชชิ่ง จำกัด.
สิริพร ทิพย์คง. (2545). หลักการสอนคณิตศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ.
Sharan, Shlomo and the other. 1980. “Academic Achievement of Elementary School Children in Small Group Versus Whole-Class Instruction”. The Journal of Experimental Education. 48(2) : 125-129.
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ประมวลการสอนวิชาภาษาอังกฤษ
การเขียนประมวลการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษา ครูจะเขียนข้อมูลรายวิชาในภาพรวมจากนั้นจึงเขียนรายละเอียดเชิงลึกในแผนการจัดการเรียนรู้อีกครั้ง
วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ความเชื่อมั่น (Reliability)
ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบคือค่าความคงที่ของคะแนนที่วัดได้จากแบบทดสอบฉบับนั้น กล่าวคือเมื่อนำแบบทดสอบไปวัดกับผู้ทำแบบทดสอบกลุ่มเดียวกัน 2 ครั้ง หรืออาจจะหลายครั้ง คะแนนที่ได้จากการวัดจะมีความคงที่ แบบทดสอบที่มีความเชื่อมั่นสูงจะเป็นแบบทดสอบที่ผู้ทำแบบทดสอบไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งคะแนนที่ได้จากการวัดก็จะเหมือนเดิม หรืออาจจะสูงหรือต่ำบ้างเพียงเล็กน้อย ในทางกลับกันแบบทดสอบที่มีความเชื่อมั่นต่ำจะเป็นแบบทดสอบที่ผู้ทำแบบทดสอบกลุ่มเดิมทำแบบทดสอบกี่ครั้งคะแนนที่ได้ก็จะเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ ซึ่งบางครั้งก็ได้คะแนนสูง บางครั้งก็ได้คะแนนต่ำ จึงส่งผลให้แบบทดสอบนั้นขาดความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบมีค่าอยู่ระหว่าง 0.00-1.00 แบบทดสอบที่มีค่าความเชื่อมั่นเป็น 1.00 หมายความว่าแบบทดสอบฉบับนั้นมีค่าความเชื่อมั่นสูง แบบทดสอบที่มีค่าความเชื่อมั่นเป็น 0.00 หรือเข้าใกล้ 0.00 หมายความว่าแบบทดสอบฉบับนั้นขาดความเชื่อมั่น
การหาความเชื่อมั่นแบบ Kruder-Richardson-21 (KR - 21)
วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ความตรงของเครื่องมือ (Validity)
เมื่อผู้วิจัยสร้างข้อสอบเสร็จเรียบร้อยแล้วผู้วิจัยจะต้องหาค่าความตรงของข้อสอบนั้นก่อนที่จะนำไปใช้จริงทั้งนี้เพื่อตรวจสอบว่าข้อสอบสามารถวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ผู้วิจัยได้กำหนดไว้หรือไม่ ข้อสอบที่ดีต้องมีความตรงสูง ความตรงของข้อสอบแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ๆ ได้ดังนี้
1. ความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) การตรวจสอบหาความตรงของข้อสอบมีวัตถุประสงค์เพื่อดูว่าข้อสอบนั้นมีความครอบคลุมเนื้อหา ทักษะ และพฤติกรรมที่ต้องการวัดมากน้อยเพียงไร
2. ความตรงตามเกณฑ์ (Criterion-Related Validity) การตรวจสอบหาความตรงตามเกณฑ์มีวัตถุประสงค์เพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนของข้อสอบที่จะตรวจสอบหาความตรงกับเกณฑ์ว่าคะแนนที่ได้จากการทดสอบสามารถนำไปใช้ในการทำนายหรือคาดคะเนผลการเรียนของผู้ทำข้อสอบในปัจจุบันหรืออนาคตได้มากน้อยเพียงใด ความตรงตามเกณฑ์มี 2 ชนิดคือ
2.1ความตรงเชิงสภาพ (Concurrent Validity) การตรวจสอบหาความตรงเชิงสภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อดูคุณสมบัติของข้อสอบว่าสามารถวัดพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ทำข้อสอบได้สอดคล้องและสัมพันธ์กับสภาพตามความเป็นจริงของผู้ทำข้อสอบในปัจจุบันหรือไม่
2.2 ความตรงเชิงพยากรณ์ (Predictive Validity) การตรวจสอบหาความตรงเชิงพยากรณ์มีวัตถุประสงค์เพื่อดูคุณสมบัติของข้อสอบว่าสามารถทำนายพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ทำข้อสอบในขณะนั้นได้สอดคล้องและสัมพันธ์กับสภาพตามความเป็นจริงของผู้ทำข้อสอบในอนาคตหรือไม่
3. ความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) การตรวจสอบหาความตรงตามโครงสร้างมีวัตถุประสงค์เพื่อดูว่าเครื่องมือวิจัยหรือข้อสอบนั้นสามารถใช้วัดหรืออธิบายสิ่งที่ต้องการวัดได้สอดคล้องตามทฤษฎีหรือไม่
การหาค่าความตรงตามเนื้อหา
เป็นการหาว่าข้อสอบสามารถวัดได้ครอบคลุมตามสิ่งที่ต้องการวัดหรือไม่โดยให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนอย่างน้อย ๓ คน ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์หรือที่เรียกกันว่าการหาค่าดัชนีการสอดคล้อง IOC ( Index of Item Objective Congruency ) โดยใช้สูตรและเกณฑ์ในการตรวจพิจารณาข้อคำถามดังนี้
สูตรการหาค่าดัชนีการสอดคล้องIOC = ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์
R = คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ
∑R = ผลรวมของคะแนนของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน
N = จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
เกณฑ์ในการตรวจพิจารณาข้อคำถามผู้เชี่ยวชาญจะให้คะแนนคำถามแต่ละข้อดังนี้ +1 หรือ 0 หรือ -1
+1 = แน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ตรงตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้จริง
0 = ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ตรงตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้จริง
-1 = แน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ไม่ตรงตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้จริง
ถ้าข้อคำถามใดที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50-1.00 ถือว่ามีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้
ตัวอย่างเช่น คำถามข้อที่ 1 ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ให้คะแนน +1 ทุกคน
เอกสารอ้างอิงบุญเรียง ขจรศิลป์.2539.วิธีวิจัยในชั้นเรียน.กรุงเทพมหานคร:หจก.พี.เอ็น.การพิมพ์
สุรพงษ์ คงสัตย์ และ ธีรชาติ ธรรมวงค์ (2551)''การหาค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม (IOC)'' http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=656&articlegroup_id=146
วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ดัชนีอำนาจจำแนก
ดัชนีอำนาจจำแนก (Discrimination Index)
ข้อสอบที่มีคุณภาพจะสามารถจำแนกคนที่ทำข้อสอบออกให้เห็นชัดเจนถึงคนในกลุ่มเก่งและคนในกลุ่มอ่อน กล่าวคือข้อสอบที่ดีคนในกลุ่มเก่งจะตอบถูกมากกว่าคนในกลุ่มอ่อน ผู้วิจัยสามารถพิจารณาอำนาจจำแนกของข้อสอบแต่ละข้อได้จากดัชนีอำนาจจำแนกของข้อสอบ ซึ่งดัชนีอำนาจจำแนกจะมีค่าอยู่ระหว่าง - 1 ถึง + 1 แต่ค่าที่สามารถยอมรับได้จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0.20 ขึ้นไปถึง 1.00 ถ้าข้อสอบมีดัชนีอำนาจจำแนกต่ำกว่า 0.20 แสดงว่าข้อสอบนั้นมีคุณภาพต่ำในการจำแนกคนในกลุ่มเก่งออกจากคนในกลุ่มอ่อน ผู้วิจัยจะต้องปรับปรุงหรือตัดข้อสอบข้อนั้นทิ้งไป ถ้าข้อสอบมีดัชนีอำนาจจำแนกเข้าใกล้ 1.00 มากเท่าใดแสดงว่าข้อสอบข้อนั้นสามารถจำแนกคนในกลุ่มเก่งออกจากคนในกลุ่มอ่อนได้ดี
ดัชนีอำนาจจำแนก
0.40 ขึ้นไป เป็นข้อสอบที่ดีมาก
0.30 - 0.39 เป็นข้อสอบที่ค่อนข้างดี
0.20 – 0.29 เป็นข้อสอบที่พอใช้แต่ต้องปรับปรุง
ต่ำกว่า 0.20 เป็นข้อสอบที่ไม่ดี ต้องตัดทิ้งหรือปรับปรุง
วิธีการแบ่งจำนวนคนทำข้อสอบออกเป็นกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ ผู้วิจัยสามารถใช้เกณฑ์ 50% หรือ 25% หรือ 27 % การวิเคราะห์ดัชนีอำนาจจำแนกสามารถคำนวณได้โดยใช้สูตร
r คือ ค่าอำนาจจำแนก
RU คือจำนวนคนในกลุ่มสูงที่ตอบถูก
RL คือจำนวนคนในกลุ่มต่ำที่ตอบถูก
N คือคนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ
ยกตัวอย่างเช่น ข้อสอบวิชาหนึ่งมีคนเข้าสอบจำนวน 40 คน ผู้เขียนใช้วิธีการแบ่งจำนวนคนที่ทำข้อสอบออกเป็นคนในกลุ่มสูงและคนในกลุ่มต่ำโดยใช้เกณฑ์ 50% จึงได้คนในกลุ่มสูง 20 คน และคนในกลุ่มต่ำ 20 คน
ข้อสอบข้อที่ 1 มีคนในกลุ่มสูงที่ตอบถูกจำนวน 15 คน คนในกลุ่มต่ำที่ตอบถูกจำนวน 5 คน ข้อสอบข้อนี้มีดัชนีอำนาจจำแนกดังนี้
จากข้อสอบข้อที่ 1 แสดงว่าข้อสอบข้อนี้เป็นข้อสอบที่ดีและสามารถจำแนกคนเก่งออกจากคนอ่อนได้ดี
ข้อสอบข้อที่ 2 มีคนในกลุ่มสูงที่ตอบถูกจำนวน 15 คน คนในกลุ่มต่ำที่ตอบถูกจำนวน 15 คน ข้อสอบข้อนี้มีดัชนีอำนาจจำแนกดังนี้
จากข้อสอบข้อที่ 2 แสดงว่าข้อสอบข้อนี้เป็นข้อสอบที่ใช้ไม่ได้ เพราะไม่สามารถจำแนกคนเก่งออกจากคนอ่อนได้ จึงต้องทำการปรับปรุงใหม่หรือตัดทิ้งไป
ข้อสอบข้อที่ 3 มีคนในกลุ่มสูงที่ตอบถูกจำนวน 5 คน คนในกลุ่มต่ำที่ตอบถูกจำนวน 15 คน ข้อสอบข้อนี้มีดัชนีอำนาจจำแนกดังนี้
จากข้อสอบข้อที่ 2 แสดงว่าข้อสอบข้อนี้เป็นข้อสอบที่ใช้ไม่ได้ เพราะมีดัชนีอำนาจจำแนกติดลบ ซึ่งแสดงว่าคนอ่อนตอบถูกมากกว่าคนเก่ง
ประสิทธิภาพของตัวลวง (Distracter Efficiency)
ประสิทธิภาพของตัวลวงเป็นอีกคุณลักษณะหนึ่งที่บ่งบอกถึงข้อสอบที่มีคุณภาพ ตัวลวงที่มีประสิทธิภาพควรเป็นตัวลวงที่คนในกลุ่มอ่อนเลือกตอบมากกว่าคนในกลุ่มเก่ง และควรจะเป็นตัวลวงที่มีคนเลือกอย่างน้อยร้อยละ 5 ถ้าข้อสอบข้อใดเป็นข้อสอบที่ไม่มีคนใดเลือกตอบเลยหรือถ้าเลือกตอบก็เลือกตอบไม่ถึงร้อยละ 5 ถือว่าเป็นตัวลวงที่มีคุณภาพต่ำและควรได้รับการปรับปรุง
เอกสารอ้างอืง
บุญเรียง ขจรศิลป์.2539.วิธีวิจัยในชั้นเรียน.กรุงเทพมหานคร:หจก.พี.เอ็น.การพิมพ์
อัจฉรา วงศ์โสธร.2539.การทดสอบและการประเมินผลการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ.กรุงเทพมหานคร.โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)